สอนทำเบเกอรี่ มาการอง ของของหวานสีสันผ่องใส หลักสูตรเปิดร้านเบเกอรี่ สอนทำ
อาหารญี่ปุ่น เรียนทำขนมปัง เรียนทำขนมไทย,
เบเกอรี่,
เรียนทำเบเกอรี่ เบเกอรี่ฝรั่งเศส
เพราะอะไรธุรกิจร้านขนมปังถึงน่าลงทุนสามารถทำคนเดียวได้ เนื่องจากหากเราเริ่มต้น จากการรับขนมจากที่อื่นมาขาย นั้นก็ไม่จำเป็นที่จะต้องว่าจ้างผู้ช่วย ซึ่งคนเดียวก็สามารถดูแลร้านค้าได้เอง ทั้งผอง ไม่ต้องลงทุนสำหรับเพื่อการจ้างลูกจ้าง และก็วุ่นวายกับคนส่วนมาก
-ปัจจุบัน ร้านเบเกอรี่ นั้น เข้ากับ Lifestyle ของคนสมัยใหม่ เนื่องจากว่าคนสมัยใหม่นิยม ไปนั่งตามร้านค้าของหวาน เพื่อพักผ่อน นั่งคุย เจรจากับเพื่อนพ้อง หรือนั่งอ่านหนังสือ เพื่อบรรเทา การเปิดร้านขนมแบบเต็มแบบ ก็เลยตอบโจทย์ข้อนี้ได้ รวมทั้งทำรายได้ให้กับธุรกิจได้ อย่างเป็นกอบเป็นกำ อย่างแน่แท้
-ความชื่นชอบเบเกอรี่ ของคนรุ่นใหม่ ที่มีเวลาน้อย เลือกกินเบเกอรี่เป็น อาหารจานด่วน หรือรองท้อง หลายคนอาจจะเคยทราบคำว่า “กองทัพจำต้องเดินด้วยท้อง” เมื่อคุณเดินทางไกล หรืออยู่ในช่วงเวลาเร่งรีบ ไม่สามารถที่จะหาที่นั่งกินอาหารได้ การกินขนมที่ซื้อข้างทาง จะช่วยทำให้คุณคลายหิวไปได้ ก่อนที่คุณจะทำธุระเสร็จ และไปกินอาหารมื้อใหญ่ถัดไป
การเตรียมความพร้อมก่อนลงทุนในธุรกิจเบเกอรี่ก่อนที่จะลงทุนในธุรกิจใดๆก็ตามก็จะต้องมีการเตรียมความพร้อมให้พร้อมกั่น ซึ่งธุรกิจเบเกอรี่โฮมเมดก็ไม่ได้มีความแตกต่างกัน จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ลงทุนต้องพิจารณาถึงความพร้อมก่อนจะมีการลงทุน ซึ่งอาทิเช่น
เงินลงทุน
สำคัญเป็นอันดับต้นๆก็เนื่องจากเงินลงทุนคือปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ก่อนจะมีการผลิตเบเกอรี่เป็นไปด้วยดี จำนวนเงินลงทุนย่อมนาๆประการตามรูปแบบของธุรกิจว่าต้องการให้ออกมาในลักษณะใด ซึ่งก็จะต้องพินิจพิจารณาแล้วก็ไตร่ตรองตามกำลังของตัวอง เนื่องจากว่าด้วยทั่วๆไปแล้วการลงทุนในขั้นแรกจะเน้นไปที่สิ่งของปกรณ์ ซึ่งถือได้ว่าทุนคงเดิม แล้วก็จะให้ผลทดแทนกลับมาภายในช่วงระยะเวลาไม่นาน เพราะฉะนั้นควรจะเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่คุณภาพดี มีการค้ำประกัน แม้จะราคาสูงแม้กระนั้นมั่นอกมั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพ
ส่วนทุนอีกอย่างคราวเรียกกันว่าเงินลงทุนเปลี่ยนแปร อาทิเช่น ค่าใช้จ่ายในการเช่าพื้นที่ ค่าขนส่ง หรือค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนแปลงได้ ถือว่าเหล่านี้เป็นเงินทุนที่ผู้ร่วมลงทุนเองจำต้องเตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถเงินทุนสามารถหมุนเวียนได้อย่างไม่ติดขัด
-วิชาความรู้ความชำนาญ
จำเป็นจะต้องสำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มธุรกิจเบเกอรี่โฮมเมดมากมาย เพราะเหตุว่าควรเรียนรู้ถึงใอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้และก็วัตถุดิบทุกสิ่งทุกอย่างในการทำเบเกอรี่ ควรทำความเข้าใจว่าแป้งมีกี่จำพวก น้ำตาลหรือวัตถุดิบตัวอึ่นๆมีคุณลักษณะอย่างไรใช้เป็นส่วนประกอบในเบเกอรี่แต่ละจำพวกเพื่ออะไร ยิ่งกว่านั้นยังจะต้องฝึกหัดและชำนาญสำหรับในการทำ เบเกอรี่มากพอที่จะควบคุมประสิทธิภาพรวมทั้งรสได้ เพื่อขนมที่ผลิตมีคุณภาพและก็รสที่เช่นกัน
ขณะนี้ มีสถานศึกษาสอนทำเบเกอรีเยอะมาก เราสามารถเลือกเรียนได้ ได้ตามอยากได้ ทั้งสามารถเลือกเฉพาะวิชาที่พอใจได้ ซึ่งส่วนมากหากแม้เขาเรียนเพียงแค่หลักสูตรเดียวก็สามารถนำมาปรับใช้รวมทั้งทำขายได้ในทันที รวมทั้งการศึกษาสูตรและวิธีการทำจากเพื่อนพ้องหรือญาติพี่น้อง ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีที่จะไม่ต้องเลยรายจ่ายสำหรับเพื่อการเข้าเรียนกับสถานศึกษาสอนทำเบเกอรี่ต่างๆ
-ศึกษาเล่าเรียนตลาดและคู่ต่อสู้
ผู้ผลิตควรศึกษาเรียนรู้ถึงสถานการณ์การตลาดเพื่อวิธีการทำความรู้ความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจของพวกเรา ควรศึกษาว่ากาตลาดเบเกอรี่ในช่วงนั้นๆเป็นยังไง มีกลุ่มคู่ปรปักษ์จำนวนราวๆกี่ราย รวมทั้งแต่ละรายมีจุดเด่นข้อด้อยอะไรบ้าง และพวกเราต้องหาจุดเด่นของเรา และปรับกลยุทธ์เพื่อสู้กับคู่แข่งให้ได้ การ มองหา ร้านขายของสำหรับฝากขายมีความสำคัญมากมายสำหรับเพื่อการที่จะช่วยให้ธุรกิจของเราก้าวไปด้านหน้าหรือจะถอยหลัง ร้านค้าที่เห็นสมควรให้ความสนใจเป็นร้านที่อยู่ในย่านชุมชน มีทำเลดี มีที่จอดรถสำหรับลูกค้าไว้พร้อม มีการเคลื่อนของจำนวนลูกค้าและก็หมุนวนผลิตภัณฑ์ทั้งวัน และก็ทางร้านมีลัษณะทิศทางที่จะช่วยนำเสนอผลิตภัณฑ์ของพวกเรา เพื่อไม่ให้ผลิตภัณฑ์ของพวกเราถูกกักไว้เพื่อรอคอยส่งคืนคืนอย่างเดียว
-หาแหล่งวัตถุดิบที่เหมาะสมอีกทั้งเรื่องราคาและก็คุณภาพ
การซื้อวัตถุดิบสำหรับเฉพาะการทำเบเกอรี่ ย่อมทำให้ได้วัตถุดิบที่แพงถูกกว่าซื้อตามห้างสรรพสินค้าทั่วๆไป และก็ยังคงได้เครื่องใช้ไม้สอยในการทำเบเกอรี่อย่างครบถ้วน
รูปแบบของธุรกิจร้านขนมปัง อาชีพอิสระ รายได้ดี-รับขนมจากที่อื่นมาขาย
Bakery แบรนด์ HOME ของมหาวิทยาลัยราชภัฎ สวนดุสิต เป็นตัวอย่างสุด Classic ของ ร้านเบเกอรี่ รูปแบบนี้ เราจะเห็นคนนำขนมยี่ห้อ HOME มาเดินขายจากที่ต่างๆหรือจัดโต๊ะขายก็ตาม ลักษณะนี้เป็นต้นแบบที่เริ่มต้นง่าย เพียงไปรับขนม รวมทั้งนำมาตั้งขาย ไม่ต้องจมทุนไปกับการซื้อเครื่องอบของหวาน ไม่ต้องเปลืองแรงทำ และก็ขนมที่ขายอร่อยแน่นอน
- ทำของหวานขายเอง
ถ้าเกิดคุณมีเงินทุนมากขึ้นเรื่อยๆมาหน่อย และก็เคยไปเรียนทำ Bakery มา หรือมั่นใจในฝีมือ ธุรกิจร้านเบเกอรี่ชนิดนี้ จะทำเงินได้มากกว่า เพราะเหตุว่าเราไม่ต้องไปรับของหวาน มาจากที่อื่นๆ ซึ่งมีต้นทุนที่ซื้อมา แพงกว่าของหวานที่พวกเราทำเองอย่างแน่นอน แม้กระนั้นก็ต้องทดลองชั่งน้ำหนักมองว่า เงินลงทุนที่ลงเพิ่มไป จะคุ้มกับรายได้ที่ได้มากขึ้นมาหรือเปล่า
- ร้านขนมปังพร้อมที่นั่ง แบบเต็มต้นแบบ
ถ้าหากไม่ได้อยากต้องการขายเพียงแค่ Bakery อย่างเดียว แล้วก็คิดว่าขนมที่ทำขึ้นมา มีดีกว่าแค่จะเป็นร้านค้าทั่วไป ก็เปิดร้านเบเกอรี่พร้อมที่นั่ง แบบเต็มรูปแบบได้เลย เพราะว่าราคาขนมจะขายได้แพงกว่า 2 แบบแรก โดยมีเป้าหมาย ให้เป็นจุดสำหรับเพื่อนัดพบ สำหรับคนที่มาทานของหวาน นั่งคุยกัน หรือนั่งอ่านหนังสือ ซึ่งกับ Lifestyle ของคนสมัยใหม่ด้วย
สูตรคัพเค้กคัพเค้กเรดเวลเว็ท
สำหรับใครที่เคยลองชิมเค้กเรดเวลเว็ทมาแล้วติดใจอยากทำเสิร์ฟแขกในงานปาร์ตี้บ้าง แต่ถ้าทำชิ้นใหญ่คงไม่เหมาะขอย่อขนาดลงเป็นคัพเค้กเรดเวลเว็ทสูตรจากคุณปูขาเก เซมารู มีจุดเด่นที่เนื้อเค้กรสช็อกโกแลตแต่มีสีแดงสด โปะครีมชีส ทำเสิร์ฟในถ้วยกระดาษสีแดงดูเข้ากันจริง ๆ บอกได้คำเดียวว่าเริด
ส่วนผสม คัพเค้กเรดเวลเว็ท
- แป้งสาลีอเนกประสงค์ (ร่อนแล้วตวง) 3+1/2 ถ้วย
- เบกกิ้งโซดา 2 ช้อนชา
- เกลือป่น 1+1/2 ช้อนชา
- ผงโกโก้ 1/4 ถ้วย
- ไข่ไก่ (ขนาดใหญ่) 3 ฟอง
- น้ำตาลทราย 1+3/4 ถ้วย
- น้ำมันดอกคาโนลา 2 ถ้วย
- กลิ่นวานิลลา 1+1/2 ช้อนชา
- บัตเตอร์มิลค์ 1+1/3 ถ้วย
- น้ำส้มสายชู 2 ช้อนชา
- สีผสมอาหารสีแดง 1 ออนซ์
- พิมพ์คัพเค้ก 24 ถ้วย
หมายเหตุ :
- เค้กกำมะหยี่นี้ตามปกติเขาใส่น้ำส้มสายชูลงไปด้วย จะทำให้เค้กฟู นุ่ม ชุ่มละมุนละไม เพราะน้ำส้มสายชูจะไปทำปฏิกิริยากับเบกกิ้งโซดา ทำให้เกิดฟองอากาศเล็ก ๆ ในส่วนผสม ขณะที่เราตะล่อมส่วนผสมอยู่จะทำให้เค้กที่ได้เบา ฟูฟ่อง นุ่ม นวลเนียนดุจดังแพรกำมะหยี่
- ถ้าไม่มีบัตเตอร์มิลค์ ให้ใช้นมสดจืด 1-1/3 ถ้วย ผสมน้ำมะนาว 1-1/2 ช้อนโต๊ะ ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาที ส่วนผสมจะข้นขึ้น หรือใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ขนาด 4-6 ออนซ์ ผสมกับนมให้ได้ปริมาณเท่าบัตเตอร์มิลค์ 1-1/3 ถ้วย
- ใช้น้ำมันคาโนลา หรือน้ำมันเมล็ดดอกทานตะวัน จะได้ไม่มีกลิ่นน้ำมันติดขนม
- สีผสมอาหารสีแดงในสูตรต้นฉบับใช้ 3 ออนซ์ แม่ปูใช้ 1 ออนซ์ สีก็แดงอย่างสุดขีดแล้วค่ะหรือจะขึ้นอยู่กับยี่ห้อที่ใช้ก็อาจเป็นไปได้
วิธีทำคัพเค้กเรดเวลเว็ท
1. เปิดเตาอบที่อุณหภูมิ 350 องศาฟาเรนไฮต์ เตรียมไว้
2. ร่อนแป้งเค้ก เกลือ เบกกิ้งโซดา และผงโกโก้เข้าด้วยกัน พักไว้ก่อน
3. ตอกไข่ไก่ใส่ลงในอ่างผสมขนาดใหญ่ จากนั้นตีด้วยตะกร้อไฟฟ้า ใช้ความเร็วปานกลางจนขึ้นฟู
4. ค่อย ๆ ใส่น้ำตาลทรายลงไปทีละน้อยจนหมด ตีจนส่วนผสมข้นเป็นครีม ใช้เวลาตีประมาณ 5 นาที จากนั้นยกตะกร้อขึ้นให้ส่วนผสมไหลลงเห็นเป็นรอยพับ
5. ค่อย ๆ เทน้ำมันใส่ลงในอ่างผสมไข่ ตีส่วนผสมให้เข้ากัน ตามด้วยกลิ่นวานิลลาลงไป ส่วนผสมที่ได้จะข้น ๆ
6. ใส่สีผสมอาหารสีแดงลงไปทั้งหมด ตีส่วนผสมให้เข้ากันดี แล้วใส่น้ำส้มสายชูลงไป
7. ใส่ส่วนผสมแป้งครึ่งหนึ่งลงในอ่างผสมไข่ ตะล่อมส่วนผสมพอเข้ากัน
8. ใส่บัตเตอร์มิลค์ลงไป ตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากันอีกครั้ง แล้วใส่แป้งที่เหลือลงไปจนหมด ตะล่อมส่วนผสมให้เข้ากัน (การตะล่อมแป้งตะล่อมเบา ๆ แต่ให้ทำไว ๆ ค่ะ)
9. ค่อย ๆ ตักส่วนผสมใส่ในลงพิมพ์กระดาษ (จริง ๆ ต้องได้ทั้งหมด 24 ถ้วย แต่วันนี้แม่ปูมือหนักไปหน่อย ทำได้ 22 ถ้วยค่ะ) จากนั้นนำเข้าเตาอบ นานประมาณ 23-25 นาที หรือจนเค้กสุก (โดยใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มดู ให้จิ้มไม้ลงไปตรงกลางเค้ก ถ้าไม่มีเศษแป้งติดไม้ก็แสดงว่าเค้กสุกแล้ว) นำออกจากเตาอบพักบนตะแกรงให้เค้กคลายความร้อนก่อนประมาณ 10 นาที จึงนำออกจากถาดวางพักให้เค้กเย็นบนตะแกรง
- พักเค้กให้เย็นก่อน ระหว่างนี้ก็ไปทำครีมชีสฟรอสติ้งกันค่ะ
ส่วนผสม ครีมชีสฟรอสติ้ง
- ครีมชีส 227 กรัม
- เนยนุ่ม ๆ 113 กรัม
- น้ำตาลไอซิ่ง 400 กรัม
วิธีทำครีมชีสฟรอสติ้ง
- ตีครีมชีสให้เนียนแล้วใส่เนยลงไปตีให้เข้ากันจนส่วนผสมขึ้นฟู (จะได้หน้าตาดังรูป) จากนั้นค่อย ๆ ใส่น้ำตาลไอซิ่งลงไป (หาผ้าคลุมอ่างไว้ด้วยก็ดีค่ะ น้ำตาลจะได้ไม่กระจายเต็มห้อง) ตีไปเรื่อย ๆ จนน้ำตาลละลายหมด (ใช้เวลาไม่นานมากค่ะ)
- จะได้ส่วนผสมครีมฟรอสติ้งข้น ๆ เนียน ๆ ดังนี้ จากนั้นนำไปบีบลงบนเค้ก (ถ้าบีบครีมไม่หนามาก ก็จะบีบได้พอดีกับคัพเค้กตามสูตรนี้ค่ะ แม่ปูบีบใส่ บางอันหนา บางอันบาง แต่ก็พอดีค่ะ)
- แบบนี้โปะอย่างหนา สำหรับคนที่ชื่นชอบครีมหวาน ๆ
เค้กถ้วยช็อกโกแลต
ใครมีไมโครเวฟเอาออกมาปัดฝุ่นกันหน่อย จะได้เอามาทำเค้กถ้วยช็อกโกแลต สูตรจาก คุณสมาชิกหมายเลข 1860279 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม สูตรนี้ใส่ข้าวโอ๊ตผสมแป้งมะพร้าว เติมกรีกโยเกิร์ต ที่ขาดไม่ได้เลยคือ ผงโกโก้ เสิร์ฟในถ้วยเล็กกะทัดรัด อิ่มอร่อยพอดีท้อง
ส่วนผสม
เค้กถ้วย
• ข้าวโอ๊ต 1 ช้อนโต๊ะ
• แป้งมะพร้าว 1 ช้อนโต๊ะ
• ผงโกโก้แท้ 1 ช้อนโต๊ะ
• ไข่ขาว 1 ฟอง
• กรีกโยเกิร์ต 1 ช้อนโต๊ะ
• ผงฟู เล็กน้อย
• เกลือทะเล เล็กน้อย
วิธีทำเค้กถ้วย
1. หาแก้วที่เข้าไมโครเวฟได้ ฉีดสเปรย์น้ำมันมะกอกลงไปค่ะ
2. นำส่วนผสมทั้งหมดคนให้เข้ากัน และเทใส่แก้วที่ฉีดสเปรย์น้ำมันมะกอกไว้แล้ว
3. นำเข้าไมโครเวฟ ใช้ไฟ 800 วัตต์ ประมาณ 1.30 นาที นำออกมาเสิร์ฟ
ที่มาที่ไปของขนมสีสันแจ่มใส มาการูนหรือมาการอง (Macaroon)มาการูน หรือ มาการอง (Macaroon) ของหวานรูปวงกลมชนชาติฝรั่งเศส ซึ่งมีชีวิตชีวาผ่องใส ใส่ไส้กึ่งกลาง เชิญชวนให้น่าอร่อย กำลังเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากมายรวมทั้งพบเห็นกันได้เยอะแยะตามห้าง ร้านเบเกอรี่ หรือในโฮเต็ลเมืองไทยเดี๋ยวนี้
คนไหนจะทราบบ้างว่าต้นกำเนิดที่แท้จริงของขนมหวานทรงกลมสีสันแจ่มใสที่น่าอร่อยนี้เป็นขนมที่มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิตาลี มาจากคำว่า "Maccaone หรือ Maccherone" ในภาษาอิตาลี มาการองหรือมาการูน เปิดตัวคราวแรกในปี คริสต์ศักราช 1553 โดยเชฟหญิงชาวอิตาลีที่มีนามว่า Catherine de Medicis ในงานแต่งงานของเธอกับ Duc d'Orleans หรือกษัตริย์เฮนรี่ที่ 2 ของฝรั่งเศส ในอีก 21 ปีถัดมานั่นเอง
มาการองหรือมาการูน เริ่มต้นเป็นของหวานที่สร้างขึ้นมากล้วยๆจากอัลมอนต์ น้ำตาลและก็ไข่ขาวเพียงแค่นั้น ซึ่งเป็นของที่แพงไม่แพงรวมทั้งมีคุณค่าทางอาหาร มีการบันทึกไว้ว่าหลานสาวของ Catherine de Medicis และชาวประเทศฝรั่งเศสใช้กินเพื่อประทังชีวิตในสมัยสินค้าต่างๆมีราคาแพง
จวบจนกระทั่งช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หน้าตาของ มาการองหรือมาการูน ก็เปลี่ยนไปเป็นของหวานที่มีสีสันบาดตา รวมทั้งนำมาการูนสองแผ่นมาเกาะติดกันโดยมีไส้ "chocolate panache (ช็อกโกแล็ตผสมครีม)" โดย Pierre Desfontaines หลายชายของ Louis Ernest Laduree (Laduree pastry and Salon de the,rue Royale) ร้านเบเกอรี่มีชื่อในประเทศฝรั่งเศส
การทำมาการองโดยประมาณเป็น การผสมไข่ขาว น้ำตาล และอัลมอนด์ล้วนๆบดละเอียดจนเป็นผุยผงคล้ายแป้ง เรียกส่วนผสมนี้ว่า เมอแรงก์ (meringue) ตักเมอแรงก์ใส่กรวยแล้วบีบลงบนถาดอบเป็นชิ้นกลมๆขนาดเล็ก แล้วก็ต้องตากทิ้งไว้ครู่หนึ่งและหลังจากนั้นก็ค่อยนำเข้าเตาอบ ออกมาเป็นฝามาการอง (Shell) แล้วทำไส้ใส่ไว้กึ่งกลาง
กระบวนการทำมาการองต้นตำรับ แตกต่างตั้งแต่วิธีจัดแจงเมอแรงก์แบบที่นิยมทำกันในตอนนี้ วิธีการทำมาการองแบบต้นตำรับนั้นจำต้องใช้แนวทางเตรียมเมอแรงก์แบบ "เฟรนช์ เมอแรงก์ (French Meringue)" คือการตีไข่ขาวกับน้ำตาลแบบไม่ต้องต้ม ใช้มือเบาๆตีไปเรื่อยซึ่งเป็นวิธีดั้งเดิมที่คนฝรั่งเศสทำมาเมื่อร้อยปีที่ผ่านมา ร้านมาการองที่เป็นที่รู้จักในขณะนี้ของฝรั่งเศสก็ยังใช้วิธีเริ่มแรกนี้อยู่ แต่ปัจจุบันนี้คนจำนวนมากไม่มีใครทำแล้ว เพราะเหตุว่ากระบวนการทำยุ่งยากกว่าแนวทางต้มน้ำตาลด้วยความร้อนซึ่งจะมีผลให้ผิวของมาการองไม่เหมือนกัน รวมทั้งแบบดั้งเดิมจะต้องใช้เวลาตากที่อุณหภูมิปกติขั้นต่ำ 3 ชั่วโมงถึงจะนำเข้าอบได้ ในขณะที่แนวทางต้มน้ำตาล ทิ้งเอาไว้เพียงแค่ 15 นาที ก็นำเข้าเตาอบได้เลย
มาการองปัจจุบันนิยมต้มน้ำตาลที่อุณหภูมิ 118 องศาเซลเซียส ซึ่งเมื่อรวมกับไข่ขาวจะมีความแน่นและคงตัวช่วยไม่ให้ผิวหน้ามาการองแตกจากการอบ ผิวเรียบสวย แต่ไม่มีความนิ่มเท่ากับแนวทางตีน้ำตาลทราย ไข่ขาวและก็ผงอัลมอนด์ให้ขึ้นฟูเบาๆซึ่งจะต้องอาศัยความชำนาญ
กระบวนการทำมาการองต้นตำรับแบบ เฟรนช์ เมอแรงก์ ทำให้จับตัวได้ฝามาการอง (Shell) ซึ่งผิวสัมผัสข้างนอกจะกรอบบางๆกัดนิดเดียวจะเจอความอ่อนนุ่มของเนื้อเชลล์แทบละลายในปากผสมผสานกลมกลืนไปกับรสชาติของไส้
คุณสมบัติเฉพาะของมาการองอีกจุดเป็น"ชายกลอุบายประเทศฝรั่งเศส (skirt)" เป็นส่วนที่เป็นรอยหยักๆบริเวณรอบๆขอบเชลล์ ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากส่วนผสมแล้วก็การอบที่เหมาะสม ถ้าอบแล้วไม่มีสเกิร์ตเกิดขึ้น ตัวเชลล์จะเปลี่ยนเป็นขนมผิงที่กรอบทั้งชิ้น
|
ขมป้งบ้านครูแอน อร่อย การันตี เรียนแล้วทำเป็น ชัวร์
|
อยากทำขนมเค้กเป็น อยากทำขนมอร่อยๆ เรียนกับครูแอนเลย
|
ทำขนมเค้กกินเอง
ขนมปัง เบเกอรี่ บ้านครูแอน สอนเป็นกันเอง เรียนจบต้องทำเป็นให้จงได้
}
คอร์สแต่งหน้าเค้ก ไส้ขนมปัง เปิดร้านเบเกอรี่ (สอนส่วนตัว) อร่อยเหาะเครดิต :
http://www.annann201.com/Tags : เรียนทำเบเกอรี่, เรียนทำเค้ก,เรียนทำขนมไทย